|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
|||
|
|||
ไอคิวเด็กไทยแย่ หวิดตกเกณฑ์ สั่งเพิ่ม'ไอโอดีน'
ไอคิวเด็กไทยแย่ หวิดตกเกณฑ์ สั่งเพิ่ม'ไอโอดีน'
สธ.เร่งสำรวจไอคิวเด็กไทยทั่วประเทศ ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก คาดต้นปี 54 ทราบค่าเฉลี่ย "จุรินทร์" เผยที่ผ่านมาไอคิวเด็กไทยเกือบตกเกณฑ์มาตรฐาน สั่งแจกไอโอดีนเม็ดให้หญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศ กำหนดให้เกลือ-น้ำปลา-ซีอิ๊ว ต้องเติมไอโอดีน... เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโครงการสำรวจสถานการณ์สติปัญญาเด็กไทย 2554 ว่า จากการสำรวจระดับสติปัญญาหรือไอคิวเด็กใน 190 ประเทศทั่วโลกเมื่อปี 2006 พบว่าตัวเลขไอคิวเฉลี่ยของเด็ก ในระดับมาตรฐานสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับอยู่ที่ 90-110 จุด โดยมีระดับต่ำที่สุดคือ 59 จุด และสูงที่สุดคือ 108 จุด ซึ่งมีเพียง 66 ประเทศเท่านั้นที่ระดับไอคิวเฉลี่ยได้มาตรฐาน ส่วนระดับไอคิวเฉลี่ยเด็กไทยอยู่ที่ระดับ 91 จุด ซึ่งถือว่าสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเกือบตกเกณฑ์มาตรฐาน และไทยยังอยู่ในลำดับเดียวกันกับประเทศบรูไนและกัมพูชา ส่วนประเทศที่มีระดับไอคิวสูงที่สุดในโลกมีทั้งหมด 10 ประเทศ เรียงตามลำดับคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน อิตาลี ไอร์แลนด์ มองโกเลีย และสวิสเซอร์แลนด์ "จากการศึกษาพบ ว่า ปัญหาไอคิวต่ำมีผลโดยตรงต่อการสร้างสติปัญญา ความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลก และมี สาเหตุมาจากขาดไอโอดีน โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ ทั้งนี้จึงได้หามาตรการในการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มไอคิวให้กับเด็กไทย ด้วยการแจกไอโอดีนเม็ดให้กับหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยหญิงตั้งครรภ์สามารถรับไอโอดีนเม็ดได้ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ และมีการกำหนดให้เกลือ น้ำปลา และซีอิ้ว ต้องเติมไอโอดีนด้วยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 54 เป็นต้นไป" นายจุรินทร์ กล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมสุขภาพจิต ดำเนินการสำรวจไอคิวของเด็กไทยทั่วประเทศแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานสากลในการสำรวจไอคิวเป็นครั้งแรก ในเด็กจำนวน 100,000 คน ซึ่งถือเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามคาดว่าจะทราบผลได้ในเดือนมกราคมนี้ ทั้งนี้จะทำให้ทราบค่าเฉลี่ยไอคิวในรายภูมิภาคและจังหวัด เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาไอคิวเด็กไทยได้อย่างตรงจุดและตรงเป้าหมาย. ไทยรัฐออนไลน์ * โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ * 9 ธันวาคม 2553, 13:30 น.
__________________
มาหาความรู้ไว้ติวหลาน แต่หลานไม่เอาเลขแล้ว เข้ามาทำเลขเอามันอย่างเดียว ความรู้เป็นสิ่งเดียวที่ยิ่งให้ ยิ่งมีมาก รู้อะไรไม่สู้ รู้จักพอ (ยกเว้นความรู้ ไม่ต้องพอก็ได้ หาไว้มากๆแหละดี) (แต่ก็อย่าให้มากจนท่วมหัว เอาตัวไม่รอด) |
#2
|
|||
|
|||
สองคนแรกที่ควรได้รับ 'ไอโอดีน' คือรัฐมนตรีศึกษา กับรัฐมนตรีสาธารณสุข
รวมทั้งคนในกระทรวงศึกษา ก็ควรได้รับด้วย ควรให้มากๆ ไม่ต้องกลัว overdose
__________________
มาหาความรู้ไว้ติวหลาน แต่หลานไม่เอาเลขแล้ว เข้ามาทำเลขเอามันอย่างเดียว ความรู้เป็นสิ่งเดียวที่ยิ่งให้ ยิ่งมีมาก รู้อะไรไม่สู้ รู้จักพอ (ยกเว้นความรู้ ไม่ต้องพอก็ได้ หาไว้มากๆแหละดี) (แต่ก็อย่าให้มากจนท่วมหัว เอาตัวไม่รอด) |
#3
|
||||
|
||||
มองในแง่ดี
ก็แค่หวิดตก
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... |
#4
|
||||
|
||||
ไอคิวไม่ดีก็พัฒนาได้ อย่างที่คุณ Banker บอก
__________________
"ชั่วโมงหน้าต้องดีกว่าเดิม!" |
#5
|
||||
|
||||
เห็นด้วยครับ
__________________
ต้องสู้ถึงจะชนะ CCC Mathematic Fighting เครียด เลย |
#6
|
||||
|
||||
ครั้งแรกที่อ่าน ฮาก๊ากเลยครับ
นึกว่า joke
__________________
คณิตศาสตร์ คือ ภาษาสากล คณิตศาสตร์ คือ ความสวยงาม คณิตศาสตร์ คือ ความจริง ติดตามชมคลิปวีดีโอได้ที่http://www.youtube.com/user/poperKM |
#7
|
||||
|
||||
งั้นเอาไปอ่านอีกข่าวไม่แพ้ข่าวนี้เหมือนกัน
สอบนักเรียน 65 ชาติ จีนแชมป์! 'อ่าน-วิทย์-คณิต' ผลสอบวิชาการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จากตัวแทนนักเรียน 65 ประเทศเศรษฐกิจทั่วโลก จีนเจ๋งผลการเรียนติดอันดับ 1 ทั้ง 3 วิชา การอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์... เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. การประเมินผลสอบวิชาการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ กับเด็กนักเรียนชั้นมัธยมวัย 15 ปีร่วม 5 แสนคน จาก 65 ประเทศเศรษฐกิจทั่วโลก จัดทำโดยองค์กรด้านความร่วมมือเศรษฐศาสตร์และการพัฒนา (โออีซีดี) จากโครงการประเมินผลนักเรียนระหว่างประเทศทุกๆ 3 ปี พบว่านักเรียนจากนครเซี่ยงไฮ้ของจีนซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมวัดผลการเรียนเป็น ครั้งแรกติดอันดับ 1 ทั้ง 3 วิชา รองลงมาเป็นนักเรียนเกาหลีใต้ และนักเรียนฟินแลนด์ที่ร่วงจากแชมป์เก่ามาอยู่อันดับ 3 ตามด้วยฮ่องกง สิงคโปร์ แคนาดา นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น สำหรับสหรัฐฯที่เคยเป็นผู้นำ ด้านการศึกษา ผลสอบวิชาการอ่านของนักเรียนอเมริกันกลับอยู่อันดับที่ 14 วิชาวิทยาศาสตร์อันดับที่ 17 และวิชาคณิต-ศาสตร์ซึ่งได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐานอยู่อันดับที่ 25 ขณะที่อัตราการรับนักเรียนเข้าศึกษาในสถาบันต่างๆ สหรัฐฯติดอันดับ 3 จากท้ายตารางนำเพียงเม็กซิโกและตุรกี ส่วนอัตรานักเรียนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สหรัฐฯหล่นจากอันดับ 2 ไปอยู่ที่ 13 ขณะเดียวกัน แบบสำรวจโดยสมาคมภาษาสมัยใหม่ หรือเอ็มแอลเอ ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากวิทยาลัยเขตและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ 2,514 แห่ง พบว่าภาษาอารบิกกลายเป็นที่นิยม อัตราผู้สมัครเรียนเพิ่มถึง 46 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2548 ส่วนภาษาเกาหลีเติบโต 19 เปอร์เซ็นต์ จีน 18.2 เปอร์เซ็นต์ และโปรตุเกส 11 เปอร์เซ็นต์ กระนั้น ภาษาสเปนยังครองใจกลุ่มนักศึกษามากที่สุดตามด้วยภาษาฝรั่งเศส และเยอรมัน. ที่มา http://www.thairath.co.th/content/oversea/132797 ถ้าใครสนใจงานวิจัยนี้ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี 2009 และ เผยแพร่มางเว็บไซต์เมื่อ วันที่ 7 ธ.ค. 2553 นี้เอง ดูฉบับ ภาษาอังกฤษได้ที่นี่ครับ http://www.pisa.oecd.org/dataoecd/34/60/46619703.pdf พี่ไทยเราไม่เบานะครับได้อันดับตั้ง 50 จาก 65 ประเทศ 09 ธันวาคม 2010 21:01 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ หยินหยาง |
#8
|
|||
|
|||
ก่อนอื่นเลย คือ พวกขนมมีโซเดียมเกินผิดปกติ เด็กไทยชอบซื้อขนมพวกนี้
ซองนึงร่างกายได้รับโซเดียมเกินที่ต้องการแล้ว ถ้ากินบ่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อไต แต่ทำไมกระทรวงสาธารณสุขถึงปล่อยให้ขายกันอยู่ได้ นี่ไงผลงานกระทรวงสาธารณสุข แล้วยังบ้าบอไปวัดไอคิวเด็กอีก ทุกอย่างเป็นที่ระบบสังคม ที่ต้องการให้เยาวชนไทยเป็นแบบนี้ เพื่อจะได้ทำอะไรก็ได้ เป้าหมายคือประโยชน์ของคนบางคนที่ไม่คิดถึงส่วนรวม บอกตรงๆ นะ ผู้มีอำนาจบางคนได้ใต้โต๊ะไปเท่าไหร่ พ่อค้าที่คิดแต่กำไร ทำทำไม สังคมไทยมีแบบนี้มากๆ อีกไม่นานจะพังกันหมด ถึงตอนนั้นอย่าโทษกันไป โทษกันมาแล้วกัน 13 ธันวาคม 2010 20:36 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ ครูนะ |
|
|