|
|
|||||||
| สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
  |
|
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
|
#2
19 ตุลาคม 2010, 23:05
|
||||
|
||||
เพราะมันยากมั๊งครับ
สำหรับผมก็เช่นกัน =="
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... 
|
|
#3
20 ตุลาคม 2010, 00:07
|
|||
|
|||
|
ผมคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่สะสมมานานตั้งแต่วัยเด็กครับ
คณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ เป็นวิชาที่ต้องมีการปูความรู้พื้นฐานมาตั้งแต่เด็ก และต่อยอดมาเรื่อยๆ เด็กที่เดินไปจนสุดทางบนถนนสองสายนี้ได้จะต้องเรียนรู้สองอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยคือต้องตั้งใจเรียน เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กเดินออกห่างจากสองวิชานี้ โอกาสที่เด็กจะหันกลับมาสนใจอีกผมว่า ทำได้ยากเพราะเนื้อหามันต่อเนื่องกันตลอด สรุปคือเริ่มออกห่างเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น ผมคิดว่าช่วงม.ต้น สำคัญที่สุด เพราะเด็กในวัยนี้รักที่จะเล่นมากกว่าเรียนอยู่แล้ว ตามธรรมชาติของเด็ก เด็กที่หลุดรอดมาได้คือเด็กที่ยังรักเรียนมากกว่าเล่นนะผมว่า หรืออย่างน้อยผู้ปกครองก็คอยกวดขันไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางมาก หากมองไปที่เด็กกลุ่มใหญ่ของประเทศคือเด็กต่างจังหวัดจะพบว่าเด็กต่างจังหวัดที่ยังชอบวิทย์ คณิต หลังจากจบม.ต้น จะมีน้อยกว่าเด็กในเมืองมาก ทำไม? ผมคิดว่ามาจากผู้ปกครองโดยตรง
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
|
|
#4
20 ตุลาคม 2010, 19:56
|
||||
|
||||
|
เคยถามเพื่อนว่า ทำไมถึงไม่ชอบล่ะ ?
''ก็มันน่ารำคาญ คิดอะไรซับซ้อนมากมาย น่าเบื่อ ไม่เหมือนพวกท่องจำเเค้ท่องก็ทำได้แล้ว '' ''ตอนเด็กๆ ป.2 ท่องแม่ 12 ไม่ได้โดนครูตีเลยเกลียด เกลียดเพราะครู ... แล้วหล้ังจากนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนในชม.นั้นเลย ''
__________________
|
|
#5
20 ตุลาคม 2010, 20:32
|
||||
|
||||
|
โดนกด level ไม่กล้าถาม ไม่อ่านหนังสือ เลยไม่รู้เรื่อง ไม่ทำโจทย์ อีะเปล่า
__________________
|
|
#8
20 ตุลาคม 2010, 23:18
|
|||
|
|||
|
อ้างอิง:
|
|
#9
21 ตุลาคม 2010, 00:25
|
||||
|
||||
|
ผมคิดว่าคำตอบของกระทู้นี้ไม่ยากที่จะตอบ หรือหาสาเหตุที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ได้ การที่คนเราไม่ชอบอะไรสักอย่างนั้น ล้วนมาจากจุดเริ่มต้นที่ว่า ทำไม่ได้ ยาก หรือไม่ถนัด ขาดสิ่งจูงใจขาดกระบวนการในการถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงเทคนิคและสื่อการสอนด้วย และทัศนคติของครูผู้สอนต่อวิชานั้น
ผมอาจเข้าใจเองว่า เจ้าของกระทู้คงมีเจตนาที่อยากให้คนหันมาสนใจคณิตศาสตร์กันมากๆ น่าจะเป็นประเด็นหลักของกระทู้นี้ และผมก็เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ผมจึงขอแสดงความเห็นในส่วนที่จะทำอย่างไรให้คนหันมาชอบคณิตศาสตร์ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจและผู้นั้นต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องอย่างนี้พอสมควร ผมขอแสดงความเห็นเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็น 1. สร้างค่านิยม และปลูกฝังความคิด คุณประโยชน์ของคณิตศาสตร์ เหมือนกับช่วงสมัยหนึ่งที่เด็กส่วนใหญ่ฝันที่จะเป็นหมอ เพราะเป็นที่นับน่าถือตาของสังคมและถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่ง แถมสร้างรายได้อย่างมหาศาลอีกต่างหาก 2. สร้างหลักสูตรใหม่ โดยเน้นกระบวการ การสังเกต การคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์โดยผ่านทางสื่อการสอน หรือจัดค่ายคณิตศาสตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร เพื่ให้เห็นประโยชน์และการนำไปใช้ได้จริง 3. สร้างตำราใหม่ ไม่เอาประเภทที่อ่านแล้วอ่านอีกก็งงอยู่ดี โดยเฉพาะตำราทางคณิตศาสตร์ เปิดตำราก็เจอนิยามแล้วก็โจทย์ ไม่ต้องให้คนที่สนใจอยากอ่านจะมาอ่านรู้เรื่อง สำหรับตำราระดับประถม มัธยม น่าจะเพิ่มส่วนของการเชื่อมโยงของเรื่องบางเรื่องที่เชื่อมโยงกันได้ และการใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้น 4.หาครูพันธุ์ใหม่ ประเภทจบครูมา ไม่ค้นคว้า สอนมา เป็น 10 ปี เข้ามาบ่น เห็นเด็กเป็นผู้น้อย ขาดความเตตา สั่งการบ้านเหมือนให้เป้าเซลล์แมน แถมไม่ตรวจอีกต่างหาก พวกนี้โล๊ะให้หมด ต้องสร้างครูพันธุ์ใหม่ให้มีคุณสมบัติคือ มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ความรู้ดี ถ่ายทอดเก่ง ค้นคว้าเพิ่มเติมไม่หยุดนิ่ง มีจิตวิทยาในการสอน เข้าใจเด็ก มีเมตตา 5. ต้องมีงบประมาณเพื่อจัดให้มีกิจกรรมเกี่ยวกับทางคณิตศาสตร์ ส่งเสริมการแข่งขันเพื่อสร้างคนเก่ง และมีรางวัลเป็นแรงจูงใจ ให้ทุนการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรให้มาเป็นมันสมองของชาติ และพัฒนาประเทศชาติในอนาคต โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ 
|
|
#10
21 ตุลาคม 2010, 21:22
|
|||
|
|||
|
อ้างอิง:
ใช้ชื่อโครงการว่า สควค. มีให้เลือกเรียน $5$ สาขาคือ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และ คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีครูสควค. กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า สามพันคน จะหาคุณครูพันธุ์ใหม่ได้จากที่ไหนบ้าง ข้อมูลที่นี่ครับ สควค.
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
|
|
#11
21 ตุลาคม 2010, 22:14
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณ คุณ nooonuii ที่ให้ข้อมูล เรื่องนี้ผมพอทราบมาบ้าง แต่ที่ผมมักถามตัวเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องก็คือโครงการมีมาตั้ง 13 ปี แต่การศึกษากับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร คนส่วนใหญ่กับมาทำงานที่ส่วนกลาง (สพฐ.) เพื่อมาเป็นมันสมองให้ โดยหลักการแล้วน่าจะถูก แต่อาจมีคำถามคือ ทำไมไม่ทำตัวเหมือนแบคทีเรียหรือเซลล์มะเร็งที่แพร่พันธ์ได้รวดเร็ว อย่างน้อยเป็นแบบไฮดร้าก็ยังดี ครูทั่วประเทศมีประมาณ 4.5 แสนคน ถ้าไม่สามารถถ่ายทอดหรือทำให้ครูผู้สอนเป็นครูพันธ์ใหม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ ดีไม่ดี 3 พันกว่าคนอาจถูกกลืนก็ได้นะครับ
ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณ nooonuii จะรีบกลับมาเป็นครูพันธุ์ใหม่ ก่อนที่การศึกษาจะ...ไปกว่านี้ เท่าที่ทราบคุณ nooonuii จบโท ปี 2545 นับเวลาแล้วก็น่าจะถึงเวลาแล้ว พวกเด็กๆกำลังรอคุณครูอยู่นะครับ
|
|
#12
21 ตุลาคม 2010, 22:29
|
|||
|
|||
|
ผมจะกลับเมืองไทยปีหน้า ได้เวลาแทนคุณแผ่นดินแล้ว
มีใครเคยรู้จักโครงการ รพค. บ้างครับ ชื่อเต็มคือ โคงการเร่งรัดพัฒนาครูคณิตศาสตร์ เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาครูคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ ผมเคยเป็นนักเรียนทุนโครงการนี้มาก่อนครับ แต่ทุนนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว และดูเ้หมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงต้องไปรับทุนอีกทุนหนึ่ง แต่ก็ดีกว่าทุนเดิมมากทีเดียว ที่ได้มาเรียนต่อต่างประเทศก็นับว่าเป็นวาสนาอันสูงสุดของผมแล้วล่ะ จะว่าไปแล้วยิ่งกว่าถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่งถึงสองงวดซ้อนด้วยซ้ำ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
|
|
#13
22 ตุลาคม 2010, 00:34
|
|||
|
|||
|
คนแค่สามพันกว่าคนคงเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่มากหรอกครับ แต่มีก็คงดีกว่าไม่มี
วงการวิทยาศาสตร์ของไทยคงพัฒนาไม่ได้ถ้าคนไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ 1. ไหว้เห็ดยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาจากต้นไม้ ไหว้วัวที่มี 5 ขา ขูดต้นไม้เพื่อหาตัวเลข 2. ไม่ทำการทำงาน นั่งคอยแต่วาสนาที่มาเดือนละสองครั้ง คือวันที่ $1$ กับ $16$ ทำงานได้เงินมาก็เอาไปเซ่นไหว้ขอโชควาสนาพวกนี้หมด 3. ได้ดูแต่ทีวีที่มีแต่ละครน้ำเน่า พลอตเรื่องมีแต่เรื่องผ้วๆเมียๆ ด่าทอ ตบตีกัน เมื่อสามสิบปีก่อนเป็นยังไงวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นแหละ 4. หูเบา ถูกชักจูงได้ง่าย เชื่อแต่ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง ใช้เหตุผลแยกแยะไม่เป็น จริงๆยังมีอีกเยอะตามสภาพที่เห็นกันอยู่ ทางแก้ของปัญหาเหล่านี้อยู่ที่ โอกาสทางการศึกษา ครับ คนไทยทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างน้อยที่สุดก็ปริญญาตรีและต้องได้รับอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อคนมีการศึกษาแล้วจะพัฒนาอะไรก็ง่ายขึ้นครับ เพราะคนจะพูดภาษาเดียวกันมากขึ้น ------------------------------------------------------------------------------ ผมเคยคุยกับชาวเดนมาร์กคนนึง เขามาทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลาสั้นๆ เขาเล่าว่าในขณะที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่นี้ รัฐบาลเดนมาร์กจ่ายเงินเดือนให้เขา เดือนละไม่น้อยกว่า \$ 2000 (ผมจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้แต่เยอะกว่านี้แน่ๆ) ผมได้ฟังแล้วก็งงๆ อะไรนะแค่คุณคิดอยากจะเรียนปริญญาเอกรัฐบาลก็จ่ายเงินเดือนให้คุณแล้วเหรอเนี่ย ผมอยากเป็นพลเมืองประเทศคุณจัง นี่คือเรื่องจริงครับ ประเทศในยุโรปมีนโยบายการศึกษาที่ดีมาก เพราะประชากรเขาน้อย สิ่งที่รัฐบาลเขาคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆก็คือคุณภาพของคน เพราะคนสร้างงาน สร้างประเทศ ลองคิดดูว่าถ้าพลเมืองของประเทศครึ่งหนึ่งเป็นอย่างข้อ $1-4$ ที่ผมยกตัวอย่างมาจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าทุกคนเห็นคำตอบอยู่ทุกวันว่าเป็นยังไง ข้อมูลขำๆ 1. เชื่อหรือไม่ว่า ตอนนี้สิงคโปร์มีนักคณิตศาสตร์ที่เรียนจบปริญญาเอกมากกว่าไทย ทั้งๆที่ไทยมีจำนวนประชากรมากกว่าสิงคโปร์ถึง 13 เท่า (ไทย 67 ล้าน สิงคโปร์ 5 ล้าน) 2. มหาวิทยาลัยของสิงคโปร์ติด 1 ใน 100 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก สาขาคณิตศาสตร์ ปีที่แล้วติด 1 ใน 50 ด้วยซ้ำ อันนี้ไม่ว่ากันเพราะได้ข่าวว่าสิงคโปร์ใช้วิธีดูดคนต่างชาติมาก็เยอะ แล้วของไทยล่ะ ? 1 ใน 500 ยังหาไม่เจอครับ 
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
|
|
#14
22 ตุลาคม 2010, 06:23
|
|||
|
|||
|
เป็นความผิดของผมเองครับ
ผมอยากให้นักเรียนเก่ง จึงสอนแต่โจทย์แปลกๆ โจทย์ที่ไม่ค่อยมีในแบบเรียน เป็นโจทย์สอบเข้า แต่ผมก็เลือกโจทย์ที่เหมาะกับระัดับนักเรียน ถึงยังงั้นก็เถอะ มันก็ยากสำหรับนักเรียนอยู่ดีครับ (โจทย์เน้นความคิด) ผมลืมนึกไปว่านักเรียนชอบหรือเปล่า มีพื้นความรู้หรือไม่ แต่ผมเสียใจอยู่ลึกๆ เหมือนกันว่า ทำไมข้อสอบสอบเข้า ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดม หรือ MWIT มันยากสำหรับเด็กระดับนี้จริงๆ เท่าที่ผมสัมผัส นักเรียนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่คิดเยอะๆ จะชอบทำแบบคำนวณซ้ำไป ซ้ำมา อะไรที่ใช้ความคิดจะทิ้งไปเลยครับ อย่างข้อสอบสอบเข้า ม.1 ของประเทศญี่ปุ่่น ผมเห็นว่ายากมากสำหรับเด็ก ซึ่งถ้าเป็นเด็กไทย ผมว่า 99.99% ทำไม่ได้แน่นอน จุดนี้คือความต่างของการศึกษาของประเทศด้อยพัฒนาอย่างไทย กับประเทศอื่นที่เขาเจริญกว่าไทยหรือไม่ ผมก็ไม่รู้ครับ 22 ตุลาคม 2010 16:51 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 3 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ ครูนะ
|
|
#15
22 ตุลาคม 2010, 09:02
|
||||
|
||||
|
ประเทศกำลังเข้าขั้นวิกฤตทางการศึกษาจริงๆครับ
ปัญหานี้มีส่วนประกอบอยู่หลายอย่างคือ 1. ระบบการศึกษา 2. บุคคลากรทางการศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการให้การศึกษา 4. ตัวผู้เรียน 5. ครอบครัว สังคม ค่านิยม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีผลกับการศึกษาของไทยมากครับ ระบบการศึกษายังเห็นได้ชัดว่าเป็นการเรียนแบบ ท่องจำ ไม่เน้นแนวคิดวิเคราะห์ ให้เด็กรู้จักหาเหตุผลเลย และเป็นการสอนแบบผู้ใหญ่บอก เด็กต้องเชื่อ ห้ามนอกกรอบ บุคคลากรไม่มีความรู้เพียงพอ และสนใจแต่ขั้นเงินเดือน เครื่องมือ หนังสือ การวัดผลยังเป็นที่กล่าวขานกันจนบัดนี้ ตัวผู้เรียนเองก็ได้รับการศึกษาเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถูกปลูกฝังให้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มแล้ว รวมทั้งสภาพแวดล้อม ครอบครัวที่สมัยนี้ขาดความอบอุ่น มีเหตุการณ์รุนแรงภายในครอบครัวก็บ่อย เด็กมีปัญหา โรงเรียนก็ไม่ค่อยสนใจเด็กมีปัญหาสักเท่าไหร่ สังคมก็เลยเละเทะ ริรักก่อนวัยอันควร ทะเลาะวิวาท แก๊งเด็กซิ่ง ฯลฯ คงต้องเริ่มระบบกันใหม่ตั้งแต่อนุบาล ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ แล้วค่อยขยายขึ้นไปครับ ไม่ใช่แก้จากชั้นบนลงมาชั้นล่าง เช่นการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรทำไมไม่เปลี่ยนชั้นเด็กๆก่อน พอเด็กขึ้นชั้นต่อไปก็เปลี่ยนให้สอดคล้องเป็นปีๆไป เราก็จะได้เด็กชุดใหม่ที่เป็นระบบใหม่มาตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ใช่เปลี่ยนครึ่งๆกลางๆ ใครจะไปปรับตัวทัน เด็กที่เคยเรียนแบบท่องจำมาตั้งแต่อนุบาล พอขึ้นมัธยมให้เรียนแบบ child center ถามว่าเด็กจะคิดเองเป็นมั้ย ถ้าไม่ได้ฝึกคิดกันตั้งแต่เล็กๆ พูดไปก็ยาวครับ
__________________
คณิตศาสตร์ คือ ภาษาสากล คณิตศาสตร์ คือ ความสวยงาม คณิตศาสตร์ คือ ความจริง ติดตามชมคลิปวีดีโอได้ที่http://www.youtube.com/user/poperKM
|
| |
|
|
เลย
