#1
|
||||
|
||||
1=2 จริงหรือไม่
$0\times 1 = 0$
$0\times 2 = 0$ $0\times 1 = 0\times 2$ $\frac{0}{0} \times 1 = \frac{0}{0} \times 2$ $1 = 2$
__________________
Nothing happens until something moves. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ โดยปราศจากการเริ่มต้น |
#2
|
||||
|
||||
คูณ 0 แล้วสรุปแบบนี้ ไม่ได้ครับ
|
#3
|
||||
|
||||
$0^0 = 1$ มั้ยครับ
__________________
Nothing happens until something moves. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ โดยปราศจากการเริ่มต้น 19 มีนาคม 2013 14:18 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ petch4793 |
#4
|
||||
|
||||
ไม่นิยามครับ
|
#5
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
ถ้าอย่างงั้น ถ้า a,b เป็นจำนวนจริงใดๆ จะเท่ากันเสมอซิครับ
__________________
อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น |
#6
|
|||
|
|||
|
#7
|
|||
|
|||
ออกแนวตรรกศาสตร์แฮะ
|
#8
|
|||
|
|||
ครูเคยบอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในวิชาคณิตศาสตร์ ถ้า หารด้วย0 จึงไม่นิยามครับ
|
#9
|
||||
|
||||
ใช่ๆ 0/0 ไม่นิยาม
__________________
ขอปลอบใจตัวเองหน่อยนะครับ: เอาน่า..นี่แค่สนามเดียว,ถือว่าฟาดเคราะห์ละกัน สนามหน้าต้องดีแน่[เคราะห์โดนฟาดไปเกลี้ยงแล้วนี่นา] สู้ๆ |
#10
|
|||
|
|||
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในวิชาคณิตศาสตร์ !!!! จริงเท็จอย่างไร ?
ก่อนอื่น ต้องศึกษาประวัติคณิตศาสตร์ให้ดี เราจะเข้าใจได้ว่า คณิตศาสตร์ เกิดจากการที่เราสังเกตธรรมชาติ แล้วก็เริ่มให้ "ภาษา" แก่สิ่งต่าง ๆ (พวกรูปธรรม) แล้วค่อย ๆ ปรับปรุง "ภาษา" นั้น ๆ ให้รัดกุม เพื่อให้เราสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ เมื่อเราเริ่มพูดคุยกันได้เข้าใจกันมากขึ้น เราก็เริ่มรุกเข้าไปในแดน "นามธรรม" เราเริ่มถกเหตุผล และข้อสงสัยต่าง ๆ ที่พบในธรรมชาติ ก่อให้เกิดวิชา ปรัชญา และตรรกศาสตร์ แล้วจึงตามมาด้วย วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและคณิตศาสตร์ ในขั้นตอนที่กล่าวข้างต้น เราเริ่มใช้สัญญลักษณ์ และเริ่มกำหนดกฎเกณฑ์ (เพื่อให้รัดกุม ชัดเจน) คณิตศาสตร์ ปัจจุบันจึงจัดอยู่ใน ศาสตร์ว่าด้วยรูปแบบและกฎเกณฑ์ (Formal Science) การสร้างบ้านหลังหนึ่ง ๆ เราทุกคนคงไม่โง่ ปล่อยให้ผิดพลาดพังลงโดยไม่คอยปรับแก้ หรือ เสี่ยงโดยสร้างยื่นออกไปเหนือหุบเหว บ้านคณิตนี้ก็เช่นกัน เราระวังการกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ให้เกิดขัดแย้งจนบ้านพัง และเราก็คงชอบบ้านหลังใหญ่ ๆ ชอบความหลากหลายในบ้าน ดังนั้น บ้านคณิตนี้จึง ต่อเติม เพิ่มสิ่งใหม่เข้ามาเสมอ โดยยึดหลัก ระวังให้รัดกุม ไม่ขัดแย้งกัน หรือสุ่มเสี่ยงพังทลาย สรุป อะไรก็เกิดได้ในบ้านนี้ แต่ต้องระวังให้รัดกุม ไม่ขัดแย้งกัน หรือสุ่มเสี่ยงพังทลาย กลับมาในรูปคณิต เรากำหนด 1 แทนสิ่ง สิ่งเดียว แล้วกำหนดการเพิ่ม ๒ วิธี คือ การบวก และ การคูณ เรากล่าวว่า 1+1=2 หรือ 2 มากกว่า 1 แล้วเราใช้ระบบนี้ได้ดี ตอบปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนั้นเราจะไม่อนุญาตให้ใครมา "ปรับแก้" โดย "ขาดความรอบคอบ" จากกติกาที่เราสร้าง เราให้ 0x1= 0 = 0x9 เราจึงไม่ยอมให้ 0 เป็นตัวหาร จริง ๆ แล้วใน ศาสตร์และศิลป์ ที่เรามีในวันนี้ ยึดหลักการนี้ทั้งนั้นครับ ยืนยันว่า "คนนั้นแม้มีอารมณ์ ความรู้สึก แต่ไม่มั่ว เลอะเทอะจนขาดเหตุผล" |
#11
|
|||
|
|||
พอดีพูดถึงเรื่องประวัติคณิตศาสตร์เเล้ว ผมเกิดข้อสงสัยที่ค้างคาใจมานานครับ ขอสอบถามว่า ทำไม -1 * -1 = 1 ครับ มีประวัติมาอย่างไร
|
#12
|
|||
|
|||
ขอถาม เพื่ออธิบายสิ่งที่ผมเขียนข้างต้น
100-80+40=? กรุณาแสดงวิธีทำเป็นขั้นตอนด้วยครับ จะได้เข้าใจชัด ในสิ่งที่ผมเขียน (เมื่อเฉลยแล้ว) |
#13
|
|||
|
|||
คุณ Free Style01 ต้องเข้าใจให้แม่นว่า ลบ(เครื่องหมาย -) เป็นการบ่งบอก "ทิศทาง"
ถ้าเราให้ การกระทำใด ๆ ไปในทางหนึ่ง เป็น + การให้ทำย้อน หรือให้กลับเป็นตรงกันข้าม ก็บอกโดยใช้ - เช่นให้ ได้เงิน มีเงิน เป็น + จ่ายเงิน เป็นหนี้ ก็เป็น - คุณมีเจ้าหนี้ 2 คน คนละ 10 ดังนั้นคุณมีเงิน 2x(-10)= -20 (เป็นหนี้) จึงได้ ลบxบวก เป็น ลบ ถ้าตอนนี้ คุณมีเงิน 20 รวม(คือ บวก)กับการเป็นหนี้(คือ ลบ) คุณจะมีเงิน 20+(-20) = 0 (ถ้าคุณคืนหนี้) ถ้าเจ้าหนี้ทุกคนยกหนี้ให้ (คือกลับสภาพทั้งสองคน) จึงเป็น (-2) หนี้ของแต่ละคนคือ (-10) ดังนั้นคุณยังคงมีเงิน (-2)x(-10) = 20 (คุณไม่ต้องจ่ายหนี้ เงินจึงมีเหมือนเดิม) ไม่แน่ใจว่าเข้าใจไหม ถ้าไม่ บอกด้วยครับ จะได้ยกตัวอย่างให้อีก 02 กรกฎาคม 2013 18:18 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ share |
#14
|
|||
|
|||
เข้าใจได้ดีมากเลยครับ ^^
|
#15
|
|||
|
|||
ในตอนเเรกผมคิดถึงอดีต ที่มีแต่การให้ความหมายสำหรับการคูณว่า คือ การบวกด้วยจำนวนที่เท่าๆกัน จึงไม่สามารถอธิบายว่า ทำไม -1 x -1 = 1 ผมลืมคิดไปว่าต่อมา เมื่อเจอปัญหาเกิดขึ้น มนุษย์ก็ได้สร้างข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ที่ให้ความหมายสำหรับจำนวนลบเพิ่มขึ้นมา จึงสามารถทำให้อธิบายได้ว่า -1 x -1 = 1 ได้อย่างไร....มันเป็นพัฒนาการของคณิตศาสตร์เพื่อที่จะพยายามอธิบายในสิ่งที่ยังไม่รู้ใช่ไหมครับ ผมว่าอย่างนี้ในอนาคตอาจจะมีการนิยาม 0/0 ที่ไม่ขัดกับความรู้อื่นๆ และสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่าางมากมายขึ้นมาจริงๆก็ได้
|
|
|